เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่เข้ามาช่วยให้มนุษย์โลก สามารถจัดการกับภาวะโลกร้อน ได้ดีกว่าเดิม และต้องการพาประเทศของตน กว่าไปสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ Net Zero วันนี้พี่หมี ECOLIFE จึงรวบรวม 5 เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่น่าจับตามองในปี 2024 มาฝากกัน
ในยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นหัวข้อสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการแก้ไขและจัดการกับปัญหาของโลกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืน และสร้างความมั่นคงให้กับโลกเรา ในปี 2024 รวมถึงในอนาคตอีกด้วย
5 เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่น่าจับตามองในปี 2024
1. พลังงานสะอาดและการจัดเก็บพลังงานขั้นสูง
พลังงานแสงอาทิตย์ Perovskite
พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด แต่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยังคงเป็นความท้าทาย Perovskite Solar Cell ได้รับความสนใจมากขึ้นเนื่องจากมีต้นทุนการผลิตต่ำและประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานสูงกว่าวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
Perovskite เป็นแร่ที่ประกอบด้วยตะกั่วหรือดีบุกกับเฮไลด์ สามารถผสมกับสารละลายเพื่อแปรรูปทำเป็นโซล่าเซลล์ได้ด้วยการพิมพ์สามมิติ ที่สามารถเคลือบสารนี้เป็นแผ่นลงบนวัสดุ เพื่อทำเป็นโซล่าเซลล์ได้ ความโดดเด่นของเซลล์แสงอาทิตย์ชนิด Perovskite คือ น้ำหนักเบา สามารถดัดให้โค้งงอ ขึ้นรูปได้ง่าย และมีต้นทุนทางวัสดุที่ต่ำ สิ่งสำคัญคือสามารถดูดซับแสงได้ในระดับเดียวกับซิลิกอน
Perovskite Solar Cell สามารถผลิตได้ง่ายและมีความยืดหยุ่น ทำให้สามารถติดตั้งในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บนหลังคาอาคาร หน้าต่าง หรือแม้แต่บนอุปกรณ์พกพา
แบตเตอรี่เก็บพลังงานขั้นสูง
การจัดเก็บพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการใช้พลังงานสะอาดให้ได้เต็มประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ลิเธียม-ซัลเฟอร์และแบตเตอรี่โซเดียมไอออนกำลังเป็นที่จับตามองในฐานะทางเลือกใหม่ที่มีความสามารถในการเก็บพลังงานสูงและมีต้นทุนต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ใช้กันทั่วไป เทคโนโลยีแบตเตอรี่เหล่านี้สามารถช่วยเก็บพลังงานที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อใช้งานในช่วงเวลาที่ไม่มีการผลิตพลังงาน
2. การกักเก็บและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Capture and Utilization – CCU)
เครื่องดูดจับคาร์บอนในบรรยากาศ
เทคโนโลยีการจับคาร์บอนจากบรรยากาศ (Direct Air Capture – DAC) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากอากาศด้วยตัวดูดซับ และนำไปแยกเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ หรืออัดกลับไปกักเก็บในชั้นหินใต้ดินหรือใต้ทะเล
เทคโนโลยีนี้จึงสามารถตอบโจทย์เรื่องการวางกลยุทธ์ความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม และตอบโจทย์ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกไปในเวลาเดียวกัน การพัฒนา DAC อย่างมีประสิทธิภาพและราคาที่ลดลงจะช่วยให้เทคโนโลยีนี้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การใช้คาร์บอนเพื่อผลิตเชื้อเพลิง
การเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (e-fuels) เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการจัดการกับคาร์บอนส่วนเกิน เทคโนโลยีนี้สามารถแปลงคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นเมทานอลหรือเชื้อเพลิงที่ใช้ในยานพาหนะ ทำให้สามารถลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง e-fuels เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภค แทนที่การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
3. เกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Agriculture)
การเกษตรในแนวดิ่ง (Vertical Farming)
การเกษตรในแนวดิ่งเป็นวิธีการปลูกพืชในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม เช่น ภายในอาคารหรือห้องที่มีการควบคุมแสง อุณหภูมิ และความชื้น วิธีนี้ช่วยลดการใช้ที่ดินและน้ำ ทำให้สามารถผลิตอาหารในพื้นที่เมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยลดระยะทางในการขนส่งและลดการใช้สารเคมีในการเกษตร
การใช้โดรนและ AI ในการเกษตร
โดรนและ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำเกษตรกรรม โดรนสามารถบินตรวจสอบพืชผลอย่างละเอียด วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากเซนเซอร์เพื่อระบุปัญหาและความต้องการของพืชผล AI ยังช่วยในกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลพืชผลอย่างแม่นยำ ลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มผลผลิต
4. เทคโนโลยีการรีไซเคิลและการจัดการขยะขั้นสูง
การรีไซเคิลเคมี (Chemical Recycling)
เป็นกระบวนการที่ทำให้โครงสร้างสายโซ่ของพอลิเมอร์เกิดการขาดหรือแตกออก (Depolymerisation) ได้มอนอเมอร์ (Monomer) หรือโอลิโกเมอร์ (Oligomer) เป็นผลิตภัณฑ์เมื่อนำมาทำให้บริสุทธิ์โดยการกลั่นและตกผลึกได้เป็นสารตั้งต้นที่มีคุณภาพสูงซึ่งสามารถนำไปใช้ผลิตเป็นเพทได้ใหม่
การรีไซเคิลเคมีสามารถจัดการกับขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ด้วยวิธีการทั่วไป ทำให้สามารถลดปริมาณขยะและเพิ่มการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ AI ในการคัดแยกขยะ
AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการคัดแยกขยะ เทคโนโลยีนี้สามารถใช้เซนเซอร์และกล้องในการระบุและแยกประเภทของขยะอย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิลและลดปริมาณขยะที่ถูกส่งไปฝังกลบ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บางประเทศได้มีการพัฒนา AI สำหรับการคัดแยกขยะ มากขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าในอนาคต ทั่วประเทศคงจะมีการนำ AI สำหรับคัดแยกขยะมาใช้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
5. โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (Smart Infrastructure)
เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities)
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะเป็นการใช้เทคโนโลยี IoT และระบบเซนเซอร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรในเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองและประชากรเป้าหมาย โดยเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง เช่น การจัดการพลังงาน การจราจร และการจัดการน้ำ เมืองอัจฉริยะสามารถลดการใช้พลังงาน ลดมลพิษ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรในเมืองได้
อาคารสีเขียว (Green Buildings)
อาคารสีเขียวเป็นอาคารที่ถูกออกแบบและก่อสร้างเพื่อลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุรีไซเคิล ระบบจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอาคารสีเขียว อาคารเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดการใช้ทรัพยากร แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในอาคารและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อผู้อยู่อาศัย
ในปี 2024 นี้ นับได้ว่าเป็นปีที่เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ละเทคโนโลยีที่กล่าวมาในข้างต้น ต่างก็เข้ามามีบทบาท ในการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม การลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสให้กับนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับเราและคนรุ่นหลังได้อีกด้วย
✨โหลด ECOLIFEapp เพื่อเข้าร่วมเป็นชาว ECO ได้ที่ :
👉🏻iOS download: https://apple.co/3tNdnZF
👉🏻Android download: https://bit.ly/3LqkCMO
ติดตามข้อมูลข่าวสารของ คิดคิด และ ECOLIFE ได้ที่
Facebook: ECOLIFE